CONTENT
อิงค์เจ็ตพรินเตอร์...คำตอบของการพิมพ์ในโลกธุรกิจ
วันที่: 25 ตุลาคม 2559
บทความประชาสัมพันธ์ - เมื่อพูดถึงตลาดพรินเตอร์ คำถามคลาสสิคข้อหนึ่งที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาพูด ก็คือการเปรียบเทียบระหว่าง อิงค์เจ็ตพรินเตอร์กับเลเซอร์พรินเตอร์ อิงค์เจ็ตพรินเตอร์จะดีพอที่จะแข่งขันกับเลเซอร์พรินเตอร์ได้ไหม ยิ่งในกลุ่มลูกค้าสำนักงาน ลองมาหาคำตอบกัน
เลเซอร์พรินเตอร์ได้ครองตลาดลูกค้าสำนักงานมาอย่างยาวนาน เพราะลูกค้าเชื่อว่าเลเซอร์ พรินเตอร์ไม่เพียงแต่ ทำงานได้เร็วกว่า แต่ยังถูกกว่าด้วย ในขณะที่ผู้บริโภคที่ใช้งานพรินเตอร์ตามบ้านมักจะชื่นชอบอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ มากกว่า เพราะคุณภาพงานพิมพ์ที่ดีกว่า ปัจจุบัน อิงค์เจ็ตพรินเตอร์ได้รับการพัฒนาขึ้นมาก เพื่อเพิ่มข้อได้เปรียบ ทั้งในด้านคุณภาพและความเร็วในการพิมพ์ ตลอดจนถึงความคุ้มค่าในการลงทุน จนกระทั่งบรรดาบริษัทธุรกิจ ทุกขนาดเริ่มคิดว่าน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเลเซอร์พรินเตอร์
ปัจจัยข้อแรกที่ทำให้อิงค์เจ็ตพรินเตอร์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่องค์กรธุรกิจก็คือ คุณภาพของงานพิมพ์
ในขณะที่เลเซอร์พรินเตอร์มักจะถูกใช้งานในการพิมพ์ขาวดำ อิงค์เจ็ตพรินเตอร์กลับโดดเด่นในการพิมพ์งานสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิมพ์รูปถ่ายหรือรูปกราฟฟิก อย่างไรก็ตาม อิงค์เจ็ตพรินเตอร์ที่ถูกออกแบบให้ใช้งานใน ภาคธุรกิจมีความสามารถที่สูงขึ้น เมื่อสามารถพิมพ์ข้อความหรือเอกสารลงบนวัสดุที่หลากหลายชนิด โดยที่ คุณภาพของงานพิมพ์ไม่ตกลง และไม่แตกต่างจากเลเซอร์พรินเตอร์
ยกตัวอย่าง พรินเตอร์ของผู้ผลิตรายใหญ่อย่างเอปสัน ที่ใช้หัวพิมพ์แบบไมโครปิเอโซแบบ PrecisionCore สามารถพิมพ์งานคุณภาพสูงได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีกลไกในการปล่อยหยดน้ำหมึกขนาดเพียง 1 ไมครอน ในการควบคุมปริมาณน้ำหมึกที่ปล่อยในแต่ละจุดได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ทั้งยังปรับขนาดและรูปทรงหยดหมึกได้มากถึง 50,000 ครั้งต่อวินาทีต่อหัวฉีด จึงสามารถไล่เฉดสีได้อย่างละเอียดและแทบไม่มีปัญหาหมึกเกาะกัน เป็นก้อน แถมยังใช้น้ำหมึกกันน้ำได้ ทำให้สีบนงานพิมพ์ไม่ลอกและไม่จางได้อีกด้วย ผู้ใช้สามารถพิมพ์งานที่ความละเอียดสูงสุด 600 x 600 dpi สำหรับงานพิมพ์มาตรฐานและความละเอียดสูงสุด 4,800 x 1,200 dpi สำหรับงานพิมพ์ที่ใช้กับวัสดุพิเศษ
ปัจจัยข้อต่อมาคือความเร็วในการพิมพ์ที่ไม่แพ้เลเซอร์พรินเตอร์สี ทุกออฟฟิศยกให้ความเร็วคือสิ่งที่ต้องการมาก ที่สุดในเวลาพิมพ์งาน จึงมุ่งไปที่เลเซอร์พรินเตอร์ แต่ในปัจจุบัน อิงค์เจ็ตพรินเตอร์สามารถพิมพ์ได้ด้วยความเร็ว ระดับ 24 ภาพต่อนาที เรียกได้ว่าไม่ต่างจากเลเซอร์พรินเตอร์ ที่สำคัญผู้ใช้ยังไม่ต้องรอวอร์มเครื่องก่อนใช้งาน ผู้ใช้สามารถเปิดเครื่องและพิมพ์งานแผ่นแรกออกมาได้ภายในเวลาไม่ถึง 7 วินาที
ปัจจัยที่สามคือศักยภาพในการรองรับงานพิมพ์ปริมาณมาก นอกจากความเร็วแล้ว ทุกองค์กรโดยเฉพาะองค์กร ขนาดใหญ่ต้องการพรินเตอร์ที่สามารถทำงานหนักได้ และเลเซอร์พรินเตอร์สามารถพิมพ์งานได้สูงสุดราว 2,000 – 20,000 แผ่นต่อเดือน ขึ้นอยู่กับรุ่น จึงดูจะเป็นคำตอบที่ดีกว่าอิงค์เจ็ตพรินเตอร์สมัยเก่าที่รองรับการพิมพ์ได้เพียง 1,500 – 5,000 แผ่นต่อเดือนเท่านั้น แต่สำหรับเครื่องรุ่นใหม่ของเอปสันสามารถพิมพ์ติดต่อกันได้มากถึง 75,000 แผ่นต่อเดือน โดยไม่ต้องปิดเครื่องเพื่อเติมน้ำหมึก
ปัจจัยที่สี่คือต้นทุน เมื่อทุกบริษัทได้ตัวเลือกพรินเตอร์ที่ต้องการ คำถามต่อมาคือค่าใช้จ่าย เลเซอร์พรินเตอร์มีราคา ที่สูงกว่าอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ แต่ลูกค้าก็ยังเลือกเลเซอร์พรินเตอร์ เพราะเชื่อว่าโทนเนอร์หมึกของเลเซอร์พรินเตอร์ พิมพ์งานได้มากกว่าและจะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการพิมพ์งานในระยะยาว แต่อิงค์เจ็ตพรินเตอร์ของเอปสัน
สามารถพิมพ์งานหรือถ่ายสำเนางานในปริมาณ 75,000 แผ่น ทำให้ต้นทุนต่อแผ่นถูกกว่าการพิมพ์ด้วยโทนเนอร์ ของเลเซอร์พรินเตอร์ นอกจากนี้ เอปสันยังได้ออกแบบพรินเตอร์สำหรับเอสเอ็มอี โดยหมึกสำหรับแท็งค์แต่ละชุด สามารถพิมพ์ขาวดำได้มากถึง 4,000 แผ่นและพิมพ์สีได้ถึง 6,500 แผ่น ช่วยให้เอสเอ็มอีได้พรินเตอร์ประสิทธิภาพ สูงในราคาไม่แพง ซึ่งสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้การประหยัดค่าใช้จ่ายถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
การลงทุนกับเลเซอร์พรินเตอร์ ผู้ใช้มักจะมองข้ามค่าใช้จ่ายแฝง เช่น อุปกรณ์ทำละลายหมึก กล่องของเสีย และ อุปกรณ์สิ้นเปลืองอื่นๆ ขณะที่อิงค์เจ็ตพรินเตอร์ของเอปสันได้รับการออกแบบให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถใช้งานได้ ในระยะยาว ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องซื้อมาเก็บไว้ ยิ่งไปกว่านั้น การที่ไม่ต้องคอยเปลี่ยนโทนเนอร์บ่อยๆ ยังหมายถึง ความสะดวกสบายและประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ใช้งานไม่ต้องเสียเวลาหยุดเครื่องเพื่อเปลี่ยนหมึก
ปัจจัยข้อสุดท้ายคือความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากจุดเด่นด้านประสิทธิภาพการทำงานและความ ประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว อิงค์เจ็ตพรินเตอร์ของเอปสันยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดยเครื่องทำงานโดยกินไฟ น้อยกว่าเลเซอร์พรินเตอร์ถึงร้อยละ 70 เรียกได้ว่าทั้งประหยัดและทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อเทียบกับเลเซอร์พรินเตอร์แล้ว และยิ่งไม่ต้องเปลี่ยนโทนเนอร์บ่อย ก็ยิ่งหมายความว่าเกิดขยะจากการใช้งานน้อยลง
โดยรวมแล้ว ในปัจจบันธุรกิจต่างๆ จะพบเหตุผลมากมายในการเลือกใช้อิงค์เจ็ตพรินเตอร์ ถึงแม้จะการใช้เลเซอร์พรินเตอร์ยังเป็นค่านิยมที่หลายองค์กรยังติดยึดอยู่ แต่ด้วยประโยชน์ในหลายๆ ด้านที่อิงค์เจ็ตพรินเตอร์ สามารถนำเสนอต่อธุรกิจได้ จะทำให้ค่านิยมนี้เปลี่ยนไปในที่สุด ล่าสุด Buyers Laboratory LLC บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลของอุตสาหกรรมอุปกรณ์ภาพได้แสดงความมั่นใจต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อภาคธุรกิจ ที่พรินเตอร์ เอปสันได้นำมาสู่ตลาด และได้มอบรางวัลนวัตกรรมดีเด่นประจำปี 2015 ให้แก่พรินเตอร์เอปสันรุ่น WorkForce Pro Replaceable Ink Pack ที่นอกจากจะมีฟังก์ชั่นรองรับการพิมพ์หลากหลายประเภท ต้นทุนต่อแผ่นที่ถูก ทั้งยังโดดเด่นในด้านการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผ่านสมาร์ทดีไวซ์ได้อีกด้วย